1. วิเคราะห์ปัญหาเสียงและกำหนดเป้าหมาย
🔸 ตรวจสอบแหล่งกำเนิดเสียง – เสียงมาจากเครื่องจักร สนามจราจร หรือแหล่งอื่น?
🔸 วัดระดับเสียง (dB) และความถี่ (Hz) – ใช้เครื่องวัดระดับเสียงเพื่อกำหนดมาตรฐานที่ต้องการ
🔸 กำหนดเป้าหมายการลดเสียง – ลดเสียงกี่เดซิเบล? ป้องกันการรั่วไหลของเสียง หรือควบคุมเสียงสะท้อน?
2. ออกแบบโครงสร้างห้องให้เหมาะสม
🔸 เลือกโครงสร้างผนัง พื้น และเพดาน
•ใช้วัสดุที่มีมวลสูง เช่น คอนกรีต, อิฐ, แผ่นยิปซัมหลายชั้น
• เพิ่มฉนวนกันเสียง เช่น ฉนวนใยแก้ว (Fiberglass), ฉนวนโฟมอะคูสติก, ฉนวนใยหิน (Rockwool)
🔸 ออกแบบประตูและหน้าต่างกันเสียง
•ใช้ประตูแบบ Solid Core และติดตั้งซีลกันเสียง
•ใช้กระจกสองชั้น หรือกระจกลามิเนต (Laminated Glass) เพื่อป้องกันเสียงรั่วไหล
🔸 ติดตั้งพื้นกันเสียง
•ใช้วัสดุดูดซับแรงสั่นสะเทือน เช่น Floating Floor System
•ปูพรม หรือแผ่นกันเสียงใต้พื้น
3. ติดตั้งวัสดุซับเสียงและลดเสียงสะท้อน
🔸 ติดตั้งแผ่นซับเสียงบนผนัง (Acoustic Panels)
• ใช้วัสดุเช่น โฟมอะคูสติก, ผนังบุผ้า, แผ่นไม้รูพรุน
🔸 ควบคุมเสียงสะท้อนภายในห้อง
•ใช้ Bass Trap ในมุมห้องเพื่อลดเสียงทุ้ม
•ใช้ Diffuser เพื่อลดเสียงก้องและกระจายเสียงให้สมดุล
🔸 ปรับมุมและตำแหน่งของแผ่นซับเสียง
•วางตามจุดที่เสียงสะท้อนมากที่สุด เช่น ผนังด้านหลังและเพดาน
4. ควบคุมการรั่วไหลของเสียง (Sealing & Air Control)
🔸 ปิดรอยต่อและช่องว่าง
•ใช้ซีลกันเสียงรอบประตู หน้าต่าง และรอยต่อของผนัง
🔸 ติดตั้งระบบระบายอากาศที่ป้องกันเสียงรบกวน
• ใช้ Silenced Ventilation System หรือ Duct Silencer
5. ทดสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพ
🔸 วัดระดับเสียงอีกครั้ง – ใช้เครื่องวัดเสียงเพื่อตรวจสอบว่าเสียงลดลงตามเป้าหมาย
🔸 แก้ไขจุดที่เสียงรั่วไหล – เสริมฉนวนในจุดที่เสียงยังรั่วเข้าหรือออกจากห้อง
🔸 ทดสอบเสียงสะท้อนภายในห้อง – ปรับตำแหน่งแผ่นซับเสียงเพื่อให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุด
🎯 ผลลัพธ์ที่ได้จากการออกแบบห้องเก็บเสียงที่ดี
✅ ลดเสียงรบกวนจากภายนอกและป้องกันเสียงรั่วไหล
✅ ปรับปรุงคุณภาพเสียงภายในห้อง ลดเสียงสะท้อนและเสียงก้อง
✅ สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการบันทึกเสียง ห้องซ้อมดนตรี หรือพื้นที่ทำงานที่ต้องการความเงียบ
📌 ต้องการห้องเก็บเสียงที่มีประสิทธิภาพสูง? ติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านอะคูสติกเพื่อออกแบบให้ตรงกับความต้องการของคุณ