1. เสียงในอากาศ (Airborne Noise) คืออะไร?
เสียงในอากาศ คือเสียงที่เกิดจากแหล่งกำเนิดเสียงที่กระจายผ่าน “อากาศ” ก่อนจะมากระทบโครงสร้างของอาคาร เช่น ผนัง หรือพื้น ตัวอย่างเช่น:
•เสียงพูดคุย
•เสียงโทรทัศน์
•เสียงดนตรี
•เสียงสุนัขเห่า
เมื่อเสียงเหล่านี้เดินทางผ่านอากาศและชนกับผนังหรือเพดาน มันจะทำให้พื้นผิวเหล่านั้นสั่น แล้วเกิดการส่งต่อเสียงไปยังอีกด้านหนึ่งของผนังหรือพื้น
วิธีการวัดเสียงในอากาศ:
ใช้ค่าที่เรียกว่า DnT,w + Ctr หน่วยเป็นเดซิเบล (dB)
•ค่ายิ่งสูง → หมายถึงความสามารถในการกันเสียงได้ดีขึ้น (เสียงลอดผ่านน้อยลง)
2. เสียงกระทบ (Impact Noise) คืออะไร?
เสียงกระทบ คือเสียงที่เกิดจากแรงกระแทกหรือแรงกดโดยตรงต่อโครงสร้างของอาคาร โดยไม่ได้ผ่านอากาศ เช่น:
•เสียงฝีเท้าเดินหรือวิ่ง
•เสียงเฟอร์นิเจอร์ลาก
•วัตถุตกกระแทกพื้น
เสียงกระทบจะทำให้โครงสร้าง (เช่น พื้น) สั่นสะเทือน และส่งเสียงต่อไปยังห้องด้านล่างหรือผนังที่ต่ออยู่
วิธีการวัดเสียงกระทบ:
ใช้ค่าที่เรียกว่า L’nT,w หน่วยเป็นเดซิเบล (dB)
•ค่ายิ่งต่ำ → หมายถึงความสามารถในการกันเสียงกระทบได้ดี (เสียงกระทบส่งผ่านน้อยลง)
มาตรฐานตามกฎระเบียบ Part E (ของอังกฤษ)
ในประเทศไทย ยังไม่มีข้อกำหนดที่ครอบคลุมเรื่องการควบคุมเสียงในอาคารที่เป็นมาตรฐานบังคับเหมือนกับ Part E ของอังกฤษ แต่ก็มีมาตรฐานบางอย่างที่ใช้ อ้างอิง หรือ แนะนำ สำหรับงานออกแบบอาคาร โดยเฉพาะในอาคารที่มีความต้องการด้านอะคูสติก เช่น โรงแรม โรงพยาบาล หรือห้องประชุม ซึ่งสามารถเปรียบเทียบได้ในเบื้องต้นดังนี้:
เกณฑ์จากอังกฤษ (Part E, Building Regulations)
ประเภทเสียง |
อาคารใหม่ (New Builds) |
อาคารดัดแปลง (Conversions) |
หน่วย |
---|---|---|---|
เสียงในอากาศ (Airborne Noise) |
≥ 45 dB (DnT,w + Ctr) |
≥ 43 dB (DnT,w + Ctr) |
เดซิเบล |
เสียงกระทบ (Impact Noise) |
≤ 62 dB (L’nT,w) |
≤ 64 dB (L’nT,w) |
เดซิเบล |
แนวทางในประเทศไทย (มาตรฐานอ้างอิง)
แม้ไม่มีเกณฑ์ บังคับตามกฎหมาย สำหรับอาคารพักอาศัยทั่วไป แต่ประเทศไทยมีการใช้อ้างอิงมาตรฐานจาก:
•มาตรฐานสากล ISO / ASTM (เช่น ISO 140, ISO 717)
• มาตรฐานของสมาคมวิศวกรรมเสียงและอะคูสติกไทย (TASA) หรือแนวทางจากผู้เชี่ยวชาญ
• คำแนะนำจากสถาบันเช่น วสท. (วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย)
ค่าที่แนะนำสำหรับ “เสียงในอากาศ” (Airborne Sound Insulation) ในไทย:
ประเภทห้อง |
ค่าแนะนำ (Rw หรือ STC) |
หน่วย |
---|---|---|
ห้องพักอาศัยทั่วไป |
≥ 50 dB |
เดซิเบล |
ห้องโรงแรม / ห้องประชุม |
≥ 55 dB |
เดซิเบล |
หมายเหตุ: ค่าที่ใช้ในไทยมักจะเป็น STC (Sound Transmission Class) หรือ Rw ซึ่งวัดในสภาวะ “ห้องทดสอบ” ต่างจาก DnT,w ที่ใช้ใน Part E ซึ่งวัดใน “สภาพใช้งานจริง” รวมผลกระทบจากเวลาเสียงสะท้อน (reverberation time)
ค่าที่แนะนำสำหรับ “เสียงกระทบ” (Impact Sound):
ยังไม่มีค่ามาตรฐานแน่นอนในไทย แต่สำหรับโรงแรมและอาคารหรูมักใช้ค่าจากต่างประเทศ เช่น:
• ค่าที่แนะนำ: ≤ 58-62 dB (L’nT,w)
สรุปเทียบ Part E กับประเทศไทย:
ประเด็น |
อังกฤษ (Part E) |
ไทย (โดยทั่วไป) |
---|---|---|
มีข้อกำหนดตามกฎหมาย |
✅ บังคับใช้ |
❌ ยังไม่มี |
มาตรฐานเสียงในอากาศ |
DnT,w + Ctr ≥ 43–45 dB |
Rw หรือ STC ≥ 50–55 dB |
มาตรฐานเสียงกระทบ |
L’nT,w ≤ 62–64 dB |
ใช้มาตรฐานอ้างอิง ISO ≤ 58–62 dB |
ใช้สำหรับอาคารใดบ้าง |
ทุกอาคารพักอาศัย |
เฉพาะอาคารเฉพาะทาง (เช่น โรงแรม/ห้องบันทึกเสียง) |
ทำไมต้องแยกเสียง 2 ประเภทนี้?
เพราะการควบคุมเสียงทั้งสองประเภทต้องใช้ เทคนิคการกันเสียงที่แตกต่างกัน คือ:
•เสียงในอากาศ ต้องใช้ผนังหรือวัสดุที่หนาแน่นและซีลแน่นหนา เช่น ผนังเบาแบบสองชั้น หรือฉนวนอะคูสติก
•เสียงกระทบ ต้องเน้นการแยกชั้นหรือใช้วัสดุกันสะเทือน เช่น พรม, โฟมกันกระแทก, ระบบพื้นลอย (floating floor)
สรุป
ทั้งสองประเภทเสียงนี้ต้องการการป้องกันที่แตกต่างกัน เช่น ใช้ฉนวนกันเสียง, ระบบพื้นลอย, หรือผนังสองชั้น เพื่อให้สภาพแวดล้อมในอาคารสงบและน่าอยู่มากขึ้น